2.13 อุพฺพริเปตวตฺถุ
อหุ ราชา พฺรหฺมทตฺโต,
ปญฺจาลานํ รเถสโภ;
อโหรตฺตานมจฺจยา,
ราชา กาลมกฺรุพฺพถ.
ตสฺส อาฬาหนํ คนฺตฺวา,
ภริยา กนฺทติ อุพฺพรี;
พฺรหฺมทตฺตํ อปสฺสนฺตี,
พฺรหฺมทตฺตาติ กนฺทติ.
อิสิ จ ตตฺถ อาคจฺฉิ,_
สมฺปนฺนจรโณ มุนิ;
โส จ ตตฺถ อปุจฺฉิตฺถ,
เย ตตฺถ สุสมาคตา.
“กสฺส อิทํ อาฬาหนํ,
นานาคนฺธสเมริตํ;
กสฺสายํ กนฺทติ ภริยา,
อิโต ทูรคตํ ปติํ;_
พฺรหฺมทตฺตํ อปสฺสนฺตี,
‘พฺรหฺมทตฺตา’ติ กนฺทติ”.
เต จ ตตฺถ วิยากํสุ,
เย ตตฺถ สุสมาคตา;
“พฺรหฺมทตฺตสฺส ภทนฺเต,
พฺรหฺมทตฺตสฺส มาริส.
ตสฺส อิทํ อาฬาหนํ,
นานาคนฺธสเมริตํ;
ตสฺสายํ กนฺทติ ภริยา,
อิโต ทูรคตํ ปติํ;_
พฺรหฺมทตฺตํ อปสฺสนฺตี,
‘พฺรหฺมทตฺตา’ติ กนฺทติ”.
“ฉฬาสีติสหสฺสานิ,
พฺรหฺมทตฺตสฺสนามกา;
อิมสฺมิํ อาฬาหเน ทฑฺฒา,_
เตสํ กมนุโสจสี”ติ.
“โย ราชา จูฬนีปุตฺโต,
ปญฺจาลานํ รเถสโภ;
ตํ ภนฺเต อนุโสจามิ,
ภตฺตารํ สพฺพกามทนฺ”ติ.
“สพฺเพ วาเหสุํ ราชาโน,
พฺรหฺมทตฺตสฺสนามกา;
สพฺเพว จูฬนีปุตฺตา,
ปญฺจาลานํ รเถสภา.
สพฺเพสํ อนุปุพฺเพน,
มเหสิตฺตมการยิ;
กสฺมา ปุริมเก หิตฺวา,
ปจฺฉิมํ อนุโสจสี”ติ.
“อาตุเม อิตฺถิภูตาย,
ทีฆรตฺตาย มาริส;
ยสฺสา เม อิตฺถิภูตาย,
สํสาเร พหุภาสสี”ติ.
“อหุ อิตฺถี อหุ ปุริโส,
ปสุโยนิมฺปิ อาคมา;
เอวเมตํ อตีตานํ,
ปริยนฺโต น ทิสฺสตี”ติ.
“อาทิตฺตํ วต มํ สนฺตํ,
ฆตสิตฺตํว ปาวกํ;
วารินา วิย โอสิญฺจํ,
สพฺพํ นิพฺพาปเย ทรํ.
อพฺพหี วต เม สลฺลํ,
โสกํ หทยนิสฺสิตํ;
โย เม โสกปเรตาย,
ปติโสกํ อปานุทิ.
สาหํ อพฺพูฬฺหสลฺลาสฺมิ,
สีติภูตาสฺมิ นิพฺพุตา;
น โสจามิ น โรทามิ,
ตว สุตฺวา มหามุนี”ติ.
ตสฺส ตํ วจนํ สุตฺวา,
สมณสฺส สุภาสิตํ;
ปตฺตจีวรมาทาย,
ปพฺพชิ อนคาริยํ.
สา จ ปพฺพชิตา สนฺตา,
อคารสฺมา อนคาริยํ;
เมตฺตจิตฺตํ อภาเวสิ,
พฺรหฺมโลกูปปตฺติยา.
คามา คามํ วิจรนฺตี,
นิคเม ราชธานิโย;
อุรุเวลา นาม โส คาโม,_
ยตฺถ กาลมกฺรุพฺพถ.
เมตฺตจิตฺตํ อาภาเวตฺวา,
พฺรหฺมโลกูปปตฺติยา;
อิตฺถิจิตฺตํ วิราเชตฺวา,_
พฺรหฺมโลกูปคา อหูติ.
อุพฺพริเปตวตฺถุ เตรสมํ.
อุพฺพริวคฺโค ทุติโย.
ตสฺสุทฺทานํ
โมจกํ มาตา มตฺตา จ,
นนฺทา กุณฺฑลีนา ฆโฏ;
ทฺเว เสฏฺฐี ตุนฺนวาโย จ,
อุตฺตร สุตฺตกณฺณ อุพฺพรีติ._